Thursday, September 30, 2010

ธอส. ร่วมออกบูธ “มหกรรมบ้านและคอนโด”

ธอส. ร่วมออกบูธให้คำปรึกษาสินเชื่อบ้านครบวงจร
พร้อมคัดทรัพย์ NPA กว่า 100 รายการ ชูเงื่อนไขดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี
ในงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด” ครั้งที่ 23
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คัดทรัพย์ NPA คุณภาพ จำนวนกว่า 100 รายการ ชูเงื่อนไขผ่อนดาวน์ 10 % แรก ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี พิเศษ!!! วางมัดจำซื้อทรัพย์ในงาน 50 ท่านแรกรับฟรีบัตร Home Card สิทธิ์ส่วนลดพิเศษพร้อมสะสมคะแนนในการซื้อสินค้าจากโฮมโปรทุกสาขา และร่มกันแดด UV สุดคลาสสิก พบกันได้ที่บูธ B1 B2 และ B4 ในงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 23” ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 3 ตุลาคม 2553 ที่โซนซี ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมออกบูธในงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 23” โดยนำทรัพย์ NPA คุณภาพกว่า 100 รายการออกจำหน่าย จูงใจด้วยเงื่อนไขผ่อนดาวน์ 10% แรก อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ส่วนที่เหลืออีก 90% สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารได้เต็มจำนวน หรือหากประสงค์จะเทเงินดาวน์ 10% ส่วนที่เหลืออีก 90% สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ในปีแรก หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยตามประกาศธนาคาร

“ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากว่า 57 ปี ภายในบูธจะได้พบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สามารถให้คำปรึกษาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้อย่างครบวงจร ทั้งสินเชื่อเพื่อกู้ซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อปลูกสร้างบ้าน สินเชื่อเพื่อต่อเติมซ่อมแซมบ้าน และสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกฯ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริหารทรัพย์สินโทร. 0 – 2202 – 1582-3 หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 0 – 2645 – 9000 หรือสามารถเลือกชมทรัพย์ได้ที่ www.ghbhomecenter.com” นายขรรค์กล่าว

ฝ่ายสื่อสารองค์กร
----------------------------

ชิมิ ชิมิ “อร่อยชิมิ”


ชิมิ ชิมิ “อร่อยชิมิ” ครั้งแรกของเมืองไทยที่จะได้ลิ้มรสเห็ดกรอบสไตล์ญี่ปุ่น รส ต้มยำ!! ขนมเพื่อสุขภาพสำหรับคนทุกเพศทุกวัย !!
ชิมิ ชิมิ เห็ดกรอบสไตล์ญี่ปุ่น เปิดตัว ขนมคุณภาพเพื่อคนรักสุขภาพ โดยชูจุดขาย “เห็ดสุขภาพ ต้านโรค” "อร่อยเด็ดๆแบบเห็ดญี่ปุ่นสไตล์ ชิมิ...ชิมิ..." คุณกุลจักก์ พานิชพัฒน์ ผู้ริเริ่มไอเดียขนมอร่อยนี้ได้เล่าถึงว่า หลายๆคนอาจจะติดใจกับการกินขนม แต่เป็นนห่วงเรื่องน้ำหนัก และโรคต่างๆจึงเกิดกฏข้อห้ามมากมายซึ่งทำให้เหล่านักกินขนมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างต้องถอยห่างจากการกินขนม จุดข้อขัดแย้งดังกล่าวทำให้ทางคุณกุลจักก์ มองเห็นว่าน่าจะแบ่งปันความอร่อยอย่างเห็ดกรอบสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนในครอบครัว ซึ่งทั้งอร่อยและมีคุณประโยชน์อันมากมายนี้มาแบ่งปันให้กับคนไทยทุกครัวเรือนได้รู้จักด้วยเช่นกัน !!!
การที่เลือกนำเห็ดนางรม มาเป็นตัวชูโรงและปรุงแต่งเป็นขนมนั้นก็เนื่องจาก เห็ด เป็นตัวกระตุ้นสำคัญช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาลในเลือด ปรับสภาพความดันโลหิต ลดการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย แถมเมื่อเติมรสชาติต้มยำก็ยิ่งทำให้เพลิดเพลินกับการกินได้มากยิ่งขึ้น จากความรู้เรื่องเห็ดว่ามีคุณประโยชน์ต่อร่างกายดังกล่าว จึงอยากให้ทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่น ได้เปลี่ยนความคิดว่าแท้จริงแล้ว การชื่นชอบการกินขนมไม่ใช่เรื่องน่ายกเว้นอีกต่อไป เพราะขนม อย่างชิมิ ชิมิ ทำจาก เห็ดแท้ 100% เป็นขนมของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ทั้งอร่อยและสามารถต้านโรคได้มากมายหลายชนิดอย่างแท้จริง และถ้ายิ่งเป็นเด็กๆ ที่ทั้งหล่าคุณพ่อ คุณแม่กังวลใจว่าบุตรหลานของตนเกลียดและกลัวการกินผักด้วยแล้วนั้น รับรองได้ว่าเมื่อได้ลอง ชิมิ ชิมิ ก็จะกลายเป็นเด็กชอบกินผักไปเลยในทันที !!

“ ทั้งนี้ ชิมิ ชิมิ เห็ดกรอบสไตล์ญี่ปุ่นมั่นใจว่าจะพิชิตใจเอาชนะผู้บริโภคได้เนื่องจากมีจุดเด่น เรื่อง ขนมเพื่อสุขภาพ ที่ทานได้ทุกเพศทุกวัยแล้วนั้น ยังรับรองว่า กรรมวิธีการผลิตก็พิถีพิถัน ตรวจสอบโดยระเอียดทุกขั้นตอนการผลิต ทนุถนอมเลือกแต่เฉพาะเห็ดที่มีคุณภาพจากธรรมชาติ 100% ซึ่งคัดและสรรแต่เพียงเห็ดที่ดีที่สุดเท่านั้น “ คุณกุลจักก์ กล่าวทิ้งท้าย
ชิมิ ชิมิ “ คือ เห็ดกรอบสไตล์ญี่ปุ่น เจ้าแรก ที่จะตอกย้ำให้มั่นใจได้ว่าขนมทุกซองเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพเพื่อคนรักสุขภาพ เหมาะสำหรับเป็นขนบคบเคี้ยวในยามว่างสำหรับทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง ดังสโลแกนว่า ชิมิ ชิมิ “อร่อยชิมิ”


สำหรับแฟนๆคอขนม หรือ เด็กๆที่อยากลิ้มลอง ความอร่อยของ ชิมิ ชิมิ เห็ดกรอบสไตล์ญี่ปุ่น รส ต้มยำ สามารถหาซื้อได้แล้ว ที่ เซเว่นอีเลฟเว่น และ จิฟฟี่ (7eleven and jiffy ) ทุกสาขาทั่วประเทศ ขนาดพกพาราคาเพียงซองละ 20บาท เท่านั้น!!




ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
ชื่อ วรุตม์ ทับทิมทอง – Operation Manager, HAPP Company Co. Ltd.
โทร 081-552-9666
e-mail: info@shimishimi.com
website: www.shimishimi.com
-------------------------------


Tuesday, September 28, 2010

K-ATM ร่วมลดภาวะโลกร้อน

K-ATM ร่วมลดภาวะโลกร้อน

กสิกรไทยตอกย้ำปณิธานสีเขียว ร่วมลดภาวะโลกร้อน ปรับตู้เอทีเอ็มเกือบ 7,500 ตู้ ลดการใช้ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศลง 61% พร้อมลดขนาดสลิปตู้เอทีเอ็มลง 30% ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯไม่ต่ำกว่า 6,669 ตันต่อปี และช่วยแบงก์ประหยัดได้ 70 ล้านบาทต่อปี

นายพล ธนโชติ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และเครือข่ายการบริการและการขาย ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้กำหนดปณิธานสีเขียว ในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของธนาคารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดได้เปิดตัว “โครงการ K-ATM ลดภาวะโลกร้อน” เพื่อปรับปรุงตู้เอทีเอ็มของธนาคารให้ลดการใช้กระแสไฟฟ้า และกระดาษลง เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและช่วยลดภาวะโลกร้อน

ทั้งนี้ธนาคารฯ ได้ลดการใช้กระแสไฟฟ้าของเครื่องเอทีเอ็มบางส่วนจากทั้งหมดประมาณ 7,500 เครื่อง โดยจะมีการปรับเวลาเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าแสงสว่างของ K-Lobby 872 แห่ง และตู้เอทีเอ็มแบบตู้เดี่ยว 299 แห่ง จากเดิมที่เปิด 12 ชั่วโมงต่อวัน ลดเหลือ 4 ชั่วโมงต่อวันและลดเวลาการเปิด-ปิดระบบปรับอากาศของเครื่องเอทีเอ็มจาก 18 ชั่วโมงต่อวัน เหลือ 10 ชั่วโมงต่อวัน หรือสามารถลดการใช้ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศลง 61%
การลดการใช้กระแสไฟฟ้านี้ ช่วยใช้ธนาคารประหยัดค่าไฟฟ้าของตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศลงได้ประมาณ 45.14 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะเรือนกระจกลงได้จำนวน 6,669 ตันต่อปี

นายพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดไฟฟ้าแสงสว่างครั้งนี้จะไม่กระทบการใช้บริการของลูกค้า เนื่องจากเป็นการปิดไฟเครื่องที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า ซึ่งหลังห้างปิดจะไม่มีลูกค้าใช้บริการ หรือปิดไฟป้ายโฆษณาด้านข้างตู้หลังสี่ทุ่มในพื้นที่ที่มีลูกค้าใช้บริการน้อย อย่างไรก็ตามธนาคารฯ ยังคงเปิดไฟเพดานที่ให้แสงสว่างที่พอเพียงในการทำธุรกรรมของลูกค้า และมั่นใจว่าลูกค้าจะมีความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน

นอกจากนั้น ธนาคารฯ ยังได้เปลี่ยนกระดาษสลิปรายงานธุรกรรมของเครื่องเอทีเอ็มใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน รวมทั้งลดขนาดของกระดาษสลิปจากขนาด 8.0 X 11.2 เซนติเมตร เหลือ 8.0 X 8.5 เซนติเมตร ซึ่งการลดขนาดให้เล็กลงและใช้กระดาษที่ย่อยสลายได้ง่าย แต่ยังมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับลูกค้าที่ต้องการเก็บไว้เป็นหลักฐานทางการเงินครบถ้วน จะช่วยลดการใช้กระดาษลงได้ประมาณ 30% และลดค่ากระดาษสลิปเอทีเอ็มได้ถึง 25 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทย มีเครื่องเอทีเอ็มประมาณ 7,500 เครื่อง มีผู้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็มมากกว่า 50 ล้านรายการต่อเดือน ซึ่ง “โครงการ K-ATM ลดภาวะโลกร้อน” จะช่วยให้ธนาคารฯ ลดค่าใช้จ่ายรวมลงได้เกือบ 70 ล้านบาทต่อปี และที่สำคัญจะช่วยรณรงค์ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกผ่านนวัตกรรมการให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าควบคู่ไปกับปณิธานสีเขียวเพื่อโลกสะอาดสดใสอย่างยั่งยืนตลอดไป


--------------------------

รายงานตลาดที่อยู่อาศัย


รายงานตลาดที่อยู่อาศัย
ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงเฉพาะฝั่งพระนคร
โดย ฝ่ายวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์

***********************

รถไฟฟ้าสายสีม่วงที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ และคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนในปี 2557 นั้น ได้สร้างโอกาสให้กับผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งรายใหญ่รายย่อย โดยเฉพาะในช่วงฝั่งพระนคร คือตั้งแต่สถานีบางซื่อ (ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT) จนถึงสถานีสะพานพระนั่งเกล้า (ก่อนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา) เนื่องจากราคาที่ดินค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินติดรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากแหล่งชุมชน หน่วยงานราชการ เช่น กระทรวงสาธารณสุข และห้างสรรพสินค้า เช่น บิ๊กซีวงศ์สว่าง
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยให้ความสนใจเปิดโครงการในย่านนี้ โดยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับราคาปานกลาง ในขณะที่โครงการอาคารชุดคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ราคาค่อนข้างต่ำ

ราคาประเมินที่ดินในย่านรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ฝั่งพระนคร) อยู่ในช่วงประมาณ 50,000 – 160,000 บาทต่อตารางวา ขึ้นอยู่กับถนนและระยะห่างจากถนนใหญ่ เช่น ที่ดินติดถนนกาญจนาภิเษก มีราคาประเมินราชการอยู่ที่ 50,000-80,000 บาท ในขณะที่ที่ดินติดถนนกรุงเทพ-นนทบุรี มีราคาอยู่ที่ประมาณ 130,000-160,000 บาท อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกาศขายในราคาสูงกว่านั้น โดยเฉพาะที่ดินติดถนนกรุงเทพ-นนทบุรี มีผู้ประกาศขายในราคาสูงถึง 220,000 บาทต่อตารางวา

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์สำรวจพบว่าในช่วง 3-4 ปีมานี้ มีโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งอาคารชุดคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด เปิดตัวในระยะ1 กิโลเมตรจากแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงทั้งสิ้น 18 โครงการ รวมประมาณ 6,650 หน่วย โดยมีบางโครงการที่มีที่อยู่อาศัย 2 ประเภทในโครงการเดียว เช่น มีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ หรือมีทั้งทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด

จากโครงการที่เปิดขายทั้งหมด 18 โครงการนั้น เป็นโครงการอาคารชุดคอนโดมิเนียม 10 โครงการ รวมทั้งสิ้นประมาณ 6,100 หน่วย มียอดขายหรือจองแล้วถึงประมาณร้อยละ 83 เป็นหน่วยที่กำลังก่อสร้างประมาณร้อยละ 52 ราคาขายของห้องชุดอยู่ในช่วงตั้งแต่ 6 แสนบาท จนถึงประมาณ 3 ล้านบาทต้นๆ หรือประมาณ 26,000 - 70,000 บาทต่อตารางเมตร โดยผู้ซื้อห้องชุดในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ทำงานในละแวกใกล้เคียง เช่น กระทรวงสาธารณสุข มีผู้ที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าเพียงส่วนน้อย

จากโครงการอาคารชุดทั้งหมดนี้ เป็นโครงการจากผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ 4 โครงการ รวมประมาณ 4,700 หน่วย หรือเฉลี่ยต่อโครงการประมาณมากถึง 1,200 หน่วย มียอดขายแล้วร้อยละ 89 และมีอัตราการขายเฉลี่ยถึงประมาณ 40 หน่วยต่อโครงการต่อเดือน ในขณะที่โครงการจากผู้ประกอบการนอกตลาดมีทั้งสิ้น 6 โครงการ รวมประมาณ 1,400 หน่วย หรือเฉลี่ยโครงการละประมาณ 200 หน่วย มียอดขายแล้วร้อยละ 61 และมีอัตราการขายเพียงประมาณ 3 หน่วยต่อโครงการต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบอย่างมากในตลาดอาคารชุดคอนโดมิเนียมในย่านนี้

โครงการบ้านเดี่ยวมีทั้งสิ้น 5 โครงการ (มีโครงการหนึ่งที่มีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ในโครงการเดียวกัน) รวมทั้งหมดประมาณ 400 หน่วย โดยเป็นโครงการจากผู้ประกอบการในตลาดเพียง 1 โครงการ รวมประมาณ 200 หน่วย มียอดขายแล้วร้อยละ 91 และหน่วยจากผู้ประกอบการนอกตลาด 4 โครงการ รวมประมาณ 200 หน่วย มียอดขายแล้วถึงร้อยละ 94 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการรายย่อยยังคงมีโอกาสแข่งขันในตลาดบ้านเดี่ยว เนื่องจากสามารถแข่งขันด้วยราคาที่ต่ำกว่า

โครงการทาวน์เฮาส์มี 4 โครงการ รวมทั้งสิ้นประมาณ 150 หน่วย โดยเป็นหน่วยเหลือขายประมาณครึ่งหนึ่งของหน่วยในผังโครงการทั้งหมด มีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 2.5 – 4 ล้านบาทต่อหน่วย โดยหน่วยทั้งหมดนี้เป็นโครงการจากผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งแข่งขันกันที่ราคาและความคุ้มค่าของสินค้า โครงการทาวน์เฮาส์ในย่านนี้มักจะมีการออกแบบรูปลักษณ์แบบดั้งเดิม ทั้งนี้ มีหนึ่งโครงการที่มีที่อยู่อาศัย 2 ประเภท คือ ทั้งทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด โดยมีบ้านแฝดอยู่ประมาณ 25 หน่วย

สาเหตุที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่นิยมเปิดโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบนั้น อาจะเนื่องมาจากราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้มีการปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 30 จึงทำให้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการรายย่อยที่มีที่ดินอยู่ก่อนแล้วในการพัฒนาโครงการที่มีราคาต่ำกว่า

โดยภาพรวม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสายบางใหญ่-บางซื่อ ได้เพิ่มอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่มีการเปิดตัวโครงการหรือการขายที่หวือหวามากนัก แต่โครงการที่อยู่อาศัยย่านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่กำลังมองหาซื้อบ้านในราคาไม่แพงเกินไปนัก โดยผู้ซื้อมักคำนึงถึงราคาและความคุ้มค่าของสินค้าเป็นหลัก ผู้ประกอบการรายใหญ่มีความได้เปรียบในตลาดอาคารชุดคอนโดมิเนียม ในขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยยังคงมีโอกาสในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยการแข่งขันด้วยราคาที่ต่ำกว่า

***********************











Monday, September 27, 2010

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉลองครบรอบ 57 ปี

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉลองครบรอบการดำเนินงาน 57 ปี

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 57 ปี วันสถาปนาธนาคาร ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กันยายน 2553 ธนาคารจึงได้จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 57 ปี เริ่มตั้งแต่ตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร 58 รูป พิธีทำบุญถวายภัตตาหารเพล พร้อมด้วยพิธีมอบเครื่องราชฯ และของที่ระลึกสำหรับพนักงานที่ปฏิบัติงานครบ 20 25 30 และ 35 ปี โดยมีการแสดงจากนาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์) ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคาร นอกจากนี้ ธนาคารยังได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตถวายพ่อหลวง โดยเชิญชวนลูกค้าและประชาชนร่วมบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทย เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศตามโรงพยาบาลต่างๆ

ในโอกาสวันครบการสถาปนาธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธอส. ได้ปรับปรุงรูปแบบการทำธุรกิจ (Business Model) ใหม่ ผ่านโครงการประกันชีวิตคุ้มนิรันดร์และการประกันอัคคีภัย โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ในการร่วมทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการเพิ่มผลประโยชน์ทั้งต่อลูกค้าธนาคารและ ธอส.

“ตาม Business Model ใหม่ของธนาคาร ธนาคารจะคัดกรองบริษัทประกันภัยที่รับงานอยู่ในปัจจุบันของธนาคาร ให้มีจำนวนที่เหมาะสม มีความแข็งแกร่งที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของ ธอส. โดยพิจารณาจากความมั่นคง ฐานะทางการเงิน อ้างอิงตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องทุนจดทะเบียน อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ รวมถึงประกาศ คปภ. ที่เกี่ยวข้อง (ปัจจุบัน คปภ.อยู่ระหว่างการพิจารณาการนำระดับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital) มาใช้ในปลายปี 2554 ซึ่งเงินกองทุนที่ แต่ละบริษัทต้องดำรง คำนวณจากความเสี่ยงของแต่ละบริษัท) ตลอดจนการไม่ถูกถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ยกเว้น ธนาคารกรุงไทย ซึ่งกระทรวงการคลัง และหน่วยงานของรัฐอื่นถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50) ซึ่งเป็นรูปแบบการทำธุรกิจปกติในวงการที่จะมีพันธมิตรทางธุรกิจ และเมื่อได้พันธมิตรทางธุรกิจแล้ว ธนาคารจะลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ (24 ก.ย. 2553) และหลังจากนั้นจะมีการเจรจาในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าและธนาคาร ในส่วนของการทำธุรกิจร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต อาทิ Bancasuranceจะได้มีการตกลงในรายละเอียดก่อนทำสัญญาทางธุรกิจกันต่อไป” นายขรรค์กล่าว

ฝ่ายสื่อสารองค์กร